จากเรื่องเล่านี้ สะท้อนเรื่องจริงว่า ความคิดที่จะช่วยเหลือคนอื่นเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการมองที่พ้นออกไปจากประโยชน์ตน อันประโยชน์ตนนี้เป็นยิ่งกว่าผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ยากที่ใครจะทำลายให้ราบ แล้วก้าวไปสู่เขตแดนแห่งการเอื้อประโยชน์ผู้อื่น และถ้าการเอื้อประโยชน์ผู้อื่นนั้น อยู่บนพื้นฐานความเดือดร้อนที่จะมาถึงตัวด้วยแล้ว ก็ยิ่งยากเป็นสองเท่า ความคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยสุจริตใจ จึงเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะมีอยู่ในคนที่ต่ำด้อยศักดิ์เพียงใด
ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน ถ้ามีจิตสาธารณะ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เรื่องที่จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ย่อมมีอยู่เต็มไปหมด เริ่มตั้งแต่ช่วยหยิบช่วยจับ ช่วยดูช่วยฟัง เป็นต้น แต่ถ้ามีจิตคับแคบก็จะมองอะไรไม่พ้นตัวเอง แม้ถึงคราวเกิดเรื่องสำคัญที่ต้องร่วมมือร่วมใจ ก็นึกไม่ออกเอาจริง ๆ ว่าตัวเองจะต้องเกี่ยวข้องอะไรด้วย ความคิดเช่นนี้ แม้ในยามปกติก็ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญทั้งแก่ตัวเองและส่วนรวมอยู่แล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงกรณีเกิดภัยพิบัติดังเรื่องข้างต้นว่าจะต้องย่อยยับแค่ไหน ตรงกันข้าม ถ้าต่างคนต่างมีความเอื้อเฟื้อคิดที่จะช่วยเหลือกัน จะเป็นพลังมหาศาล ปัดเป่าภัยพิบัติได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งพระอิศวรหรือเทพเจ้าใด ๆ เลย <นิทานธรรมะ>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น