โดยธรรมชาติ ดีกับชั่วย่อมเป็นปฏิปักษ์กันเองอยู่ในตัว ขณะที่กำลังพูดไพเราะ จะไม่สามารถพูดคำหยาบได้ ขณะที่เกิดความรักอย่างท่วมท้นจะไม่สามารถโกรธได้ เมื่อเปิดช่องให้ความดีมากเท่าใด โอกาสของความชั่วก็น้อยลงเท่านั้น การทำบุญจึงไม่ใช่เป็นเพียงประเพณีหรือข้อบัญญัติที่เลื่อนลอย แต่มีผลดีต่อชีวิตจริง ๆ อย่างน้อย ๒ ระยะ คือ
ระยะแรก ทำให้เกิดความสุขใจ บางคนพรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง ความมีหน้ามีตาในสังคม แต่หาความสุขใจไม่ค่อยได้ ที่เป็นดังนั้นเพราะยังเข้าไม่ถึงความสุขอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอะนะวัชชะสุข คือสุขเกิดจากการไม่กระทำสิ่งที่มีโทษ ได้แก่ความปลอดโปร่งใจ วางใจได้สนิทว่าไม่มีความผิดที่จะต้องเดือดร้อนสะดุ้งระแวง มีความสงบเย็น ไม่ถูกทำร้ายแม้จากความรู้สึกของตัวเอง
ระยะที่สอง ทำให้เกิดความมั่นใจ โดยเฉพาะความมั่นใจในวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะคนที่ใกล้ตาย จะต้องละทิ้งทรัพย์สมบัติครอบครัวและญาติมิตรที่เคยเป็นที่พึ่งไว้เบื้องหลัง ครั้นมองไปข้างหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปไหน เผชิญกับอะไร ตกอยู่ในสภาพอ้างว้างหวาดหวั่น เพราะไม่เห็นว่าสิ่งใดจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวพึ่งพิงได้ จึงมีแต่บุญหรือความดีเท่านั้น ที่จิตใจจะนึกหน่วงเอามาเป็นอารมณ์ ทำให้เกิดความภูมิใจและมีกำลังใจได้ บุญที่ทำไว้จึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ
การทำบุญไม่ว่าในศาสนาไหน ย่อมไม่ได้เป็นเพียงประเพณีเท่านั้น ทุกครั้งที่ทำ หมายถึงได้ปิดกั้นความชั่ว เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขใจและมั่นใจ ทำให้ชีวิตเป็นสุขขึ้นทันตาเห็น ไม่ใช่เรื่องควรรังเกียจหรือน่าเบื่อหน่ายแต่อย่างใด .... ธรรมะสอนใจ ตอน ผลบุญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น