บุคคลผู้มองไม่เห็นคุณค่าของเวลา มักใช้ชีวิตด้วยความประมาท เกียจคร้านการงาน ปล่อยให้ชีวิต สิ้นเปลืองไป กับการเล่น การกิน การเที่ยวมัวเมาเพลิดเพลิน กับความสนุกสนานไปวันๆ ซึ่งท่านเรียกบุคคล ประเภทนี้ว่า "ผู้ตกเป็นเหยื่อของกาลเวลา" ในไม่ช้าก็จะเดือดร้อน และเสียใจในภายหลัง เพราะวันเวลา เมื่อล่วงเลยไปแล้ว ไม่อาจหมุนกลับมาอีก ดังคำกลอนสอนใจที่ว่า "เวลาและวารีมิได้ยินดีจะคอยใคร เรือเมล์ และรถไฟ มันก็ไปตามเวลา" ส่วนผู้ไม่ประมาท ย่อมมองเห็นคุณค่าของเวลา คือเห็นเวลาทุกนาที เป็นเงินเป็นทอง มีความขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้ ไม่ท้อถอยง่าย รู้จักใช้เวลาแต่ละวินาทีให้คุ้มค่า คือให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทั้งแก่ตัวเองและส่วนรวม ซึ่งท่านเรียกว่า "ผู้ไม่ยอมให้เวลากลืนกินตน" ย่อมจะมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ ในบั้นปลายอย่างแน่นอน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ที่เห็นคุณค่า ของเวลา มีความเพียร ไม่ท้อถอย แม้จะมีอายุเพียงวันเดียว ก็ยังดีกว่า คนมีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี แต่มีความเกียจคร้านเป็นอุปนิสัย"
ความจริงปรากฏว่า การที่เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงบำเพ็ญเพียร จนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด ก็เพราะทรงเห็นคุณค่าของกาลเวลานั่นเอง หรือแม้แต่การที่สามัญชน คนธรรมดา ได้พยายามศึกษาเล่าเรียน จนจบการศึกษา ทำงาน และมีความก้าวหน้าในชีวิตการงาน โดยลำดับ เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าขององค์กร ของประเทศชาติ ทั้งนี้ ก็เพราะเหตุ คือการมองเห็นคุณค่าของกาลเวลาทั้งสิ้น
ดังนั้น ผู้หวังความเจริญก้าวหน้าและเป็นคนที่มีคุณค่าต่อสังคม จึงควรพยายามสร้างตัว ด้วยจิตสำนึก เรื่องกาลเวลาเสียแต่บัดนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น