ขึ้นชื่อว่าปัญหา ท่านสอนให้มองในลักษณะเป็นคู่ปรับกัน เช่น มีร้อนก็มีเย็นเป็นเครื่องแก้ มีมืดก็มีสว่างแก้ เป็นต้น การมองในลักษณะนี้ ทำให้ผู้มองเกิดสติปัญญา เกิดกำลังใจที่จะข้ามปัญหานั้นไปให้จงได้ และปัญหาใดที่แก้ไขด้วยสติปัญญาแล้ว ปัญหานั้นมักจะสงบระงับอย่างถาวรเสมอ แต่หากใครมองเป็นอย่างอื่นจากนี้ เช่น มองว่าเป็นความโชคร้าย เป็นความอาภัพของชีวิต เป็นต้นแล้ว โอกาสที่จะออกจากปัญหาก็จะไม่มีทางเริ่มขึ้นได้ ยิ่งกว่านั้นอาจกลายเป็นคนที่จำนนต่อปัญหาไปเลยก็มี การมองในลักษณะคู่ปรับนี้ จึงเป็นการมองในทางบวกนั่นเอง เป็นวิธีที่ทำวิกฤติให้เป็นโอกาส ซึ่งท่าน ว. วชิรเมธี แนะนำไว้ เช่น เมื่อเวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ เวลาเจอปัญหาซับซ้อนให้บอกตัวเองว่านี่คือโอกาสหรือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ เป็นต้น
ในการดำเนินชีวิต มีสถานการณ์ที่จะทำให้เราต้องมองในลักษณะคู่ปรับหรือมองในทางบวกอยู่ตลอดเวลา แม้แต่อากาศที่ร้อนนั้นเอง ถึงจะทำให้คนมีอารมณ์หงุดหงิด สมาธิสั้นและทำงานได้น้อย แต่ถ้ามองทางบวกก็จะพบว่า นี่คือโอกาสพิเศษที่จะฝึกความเข้มแข็งความอดทนได้อย่างดี เพราะเมื่อมีการตั้งสติหรือปรับตัวจนคุ้นเคยได้ ปัญหาก็จะหมดไป ปัญหาอื่น ๆ ก็เช่นกัน แทนที่จะยอมจำนนว่าเป็นความโชคร้ายแล้วนั่งเสวยทุกข์ไปวัน ๆ เพียงอย่างเดียว ถ้าคิดเสียใหม่ว่าในเรื่องนี้ยังมีแง่ดีอีกทางหนึ่งรออยู่ คิดแค่นี้ความทุกข์ใจก็ลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น มองทางบวกให้เจอ ชีวิตจะไม่อับจนง่าย ๆ เลย ... ธรรมะสอนใจ ตอน มองทางบวก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น