มีเรื่องเล่าว่า ลูกได้พาพ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะอาการกำเริบหนักจากโรคประจำตัว โรงพยาบาลจึงรับไว้เป็นคนไข้ใน เมื่อถึงเวลาเย็นก็มีพยาบาลมาเช็ดตัวให้ ผู้เป็นลูกยืนดูอยู่ห่างๆ เห็นพยาบาลคนนั้นยกมือยกเท้าคนป่วยแล้วเช็ดเบาๆ ด้วยอาการทะนุถนอม แบบกลัวคนไข้เจ็บ พร้อมกับเช็ดหน้าเช็ดตาให้โดยไม่รังเกียจเลย ทำอย่างกับคนป่วยเป็นพ่อของตน ผู้เป็นลูกเห็นการทำหน้าที่ของพยาบาลเช่นนั้นแล้วเกิดความรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ประทับใจอย่างเหลือเกิน เย็นวันต่อมา พยาบาลคนเดิมก็เข้ามาเช็ดตัวให้คนป่วยอีก แต่คราวนี้กริยาท่าทีต่างจากวันแรกอย่างสิ้นเชิง ดูเธอสักแต่ว่าทำให้เสร็จๆ ไปเท่านั้น ไม่มีอารมย์จะทำเลย หน้าตาเหมือนคนไม่สบายใจ จับคนป่วยพลิกยกมือ ยกเท้าแบบกระชากกระชั้น เช็ดถูก็ถูแรงๆ ทำเอาคนป่วยหน้านิ่งคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด ฝ่ายผู้เป็นลูกที่ยืนดูอยู่เกิดอารมย์สงสารพ่ออย่างจับใจ จะบอกให้ทำเบาๆ ก็ใช่ที่ จึงได้แต่เพียงพูดกับพ่อว่าทนเจ็บหน่อยนะพ่อ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ดูเหมือนพยาบาลจะได้สติเพราะคำพูดนั้น จึงเพลามือลง และรีบเช็ดตัวให้เสร็จก่อนที่จะรีบเดินออกจากห้องไป
อ่านนิทานธรรมะสอนใจ (นิทานธรรมะมาใหม่ทุกๆ วัน) สนใจธรรมะไม่ควรพลาด ธรรมะกับชีวิต นิทานธรรมะสั้น ๆ ธรรมะก่อนนอน เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี นิทานธรรมะให้คติสอนใจ สั้นๆ สนุก สอดแทรกหลักธรรมแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สนใจนิทานธรรมะ ต้องที่ "นิทานธรรมะ" [ธรรมะสอนใจ]
แนะนำ! บทความธรรมะอ่านมากที่สุดตอนนี้
"นิทานธรรมะ เรื่อง ผีเข้าผีออก"
มีเรื่องเล่าว่า ลูกได้พาพ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะอาการกำเริบหนักจากโรคประจำตัว โรงพยาบาลจึงรับไว้เป็นคนไข้ใน เมื่อถึงเวลาเย็นก็มีพยาบาลมาเช็ดตัวให้ ผู้เป็นลูกยืนดูอยู่ห่างๆ เห็นพยาบาลคนนั้นยกมือยกเท้าคนป่วยแล้วเช็ดเบาๆ ด้วยอาการทะนุถนอม แบบกลัวคนไข้เจ็บ พร้อมกับเช็ดหน้าเช็ดตาให้โดยไม่รังเกียจเลย ทำอย่างกับคนป่วยเป็นพ่อของตน ผู้เป็นลูกเห็นการทำหน้าที่ของพยาบาลเช่นนั้นแล้วเกิดความรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ประทับใจอย่างเหลือเกิน เย็นวันต่อมา พยาบาลคนเดิมก็เข้ามาเช็ดตัวให้คนป่วยอีก แต่คราวนี้กริยาท่าทีต่างจากวันแรกอย่างสิ้นเชิง ดูเธอสักแต่ว่าทำให้เสร็จๆ ไปเท่านั้น ไม่มีอารมย์จะทำเลย หน้าตาเหมือนคนไม่สบายใจ จับคนป่วยพลิกยกมือ ยกเท้าแบบกระชากกระชั้น เช็ดถูก็ถูแรงๆ ทำเอาคนป่วยหน้านิ่งคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด ฝ่ายผู้เป็นลูกที่ยืนดูอยู่เกิดอารมย์สงสารพ่ออย่างจับใจ จะบอกให้ทำเบาๆ ก็ใช่ที่ จึงได้แต่เพียงพูดกับพ่อว่าทนเจ็บหน่อยนะพ่อ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ดูเหมือนพยาบาลจะได้สติเพราะคำพูดนั้น จึงเพลามือลง และรีบเช็ดตัวให้เสร็จก่อนที่จะรีบเดินออกจากห้องไป
"นิทานธรรมะ เรื่อง อภัยกัน"
คนเราเมื่ออยู่ร่วมกันในสังคม ย่อมมีกระทบกระทั่งกันบ้าง และเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ย่อมเกิดความไม่พอใจ โกรธกัน มีทะเลาะเป็นปากเสียง สุดท้ายอาจถึงขั้นใช้กำลัง เพราะทุกวันนี้ขาดคุณธรรมที่เรียกว่า "การให้อภัย" นิทานธรรมะ ประจำวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดย นิทานธรรมะบล็อก จึงนำเสนอ
เรื่อง อภัยกัน
นิทานธรรมะให้คติสอนใจ เรื่อง วิชาชีวิต
นิทานธรรมะบล็อก นำเสนอ นิทานธรรมะ อ่านนิทานให้ความเพลิดเพลินแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรม สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ นิทานธรรมะ ประจำวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
เรื่อง วิชาชีวิต
โลกนี้เต็มไปด้วยวิชามากมายหลากหลายสาขา เรียกว่า เรียนกันทั้งชีวิตก็ไม่หมด แต่จะมีสักกี่คนที่ได้รู้จักสุดยอดวิชา นั่นคือ "วิชาชีวิต" ดังที่ผู้รู้กล่าวว่า "ถ้าเราขายกล้วยทอด ไม่รู้วิชาขายก้วยเตี๋ยวไม่เป็นไร ไม่รู้วิชาสร้างรถ สร้างเครื่องบิน สร้างจรวด ก็ยิ่งไม่เป็นไร เพราะไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ชีวิต แต่มีวิชาหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ไม่ได้ ถ้าไม่รู้แล้วอันตรายมาก นั่นคือ "วิชาชีวิต" นั่นเอง
ดังนั้น หากใครที่เกิดมาแล้ว ไม่ได้ศึกษาวิชาชีวิต ต้องถือได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมานั้นเป็นโมฆะ น่าเสียดายเป็นที่สุด ดังมีเรื่องราวเล่าว่า ศาสตราจารย์คนหนึ่ง เดินทางโดยเรือเพื่อไปทำธุระยังต่างประเทศ ในขณะอยู่บนเรือ เขาได้มีโอกาสคุยกับกลาสีเรือ และด้วยความที่เขาเป็นคนรอบรู้แทบทุกเรื่อง จึงทำให้ กลาสีเลื่อมใสในตัวเขามาก เย็นวันหนึ่ง ขณะที่คุยกัน ศาสตราจารย์ถามกลาสีว่า "คุณเคยเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไหม" กลาสีตอบว่า "ไม่เคยเรียนครับ" ศาสตราจารย์จึงพูดว่า "น่าเสียดายนะ เพราะวิชานี้ บอกเรื่องราวของชีวิตได้หลายๆ อย่าง เขาพูดกันว่า คนที่ไม่ได้เรียนวิชานี้ ต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ถึงหนึ่งในสี่ของชีวิตเลยทีเดียว" กลาสีฟังแล้ว ก็ไม่ค่อยสบายใจ เย็นวันต่อมา ศาสตราจารย์ถามกลาสีอีกว่า "คุณเคยเรียนวิชาภูมิศาสตร์และปรัชญาไหม" กลาสีบ่นเสียดายที่ไม่ได้เรียนวิชาเหล่านั้นเลย และเสียใจที่ใช้ชีวิตสูญเปล่าไปมากมายขนาดนั้น เขาเครียดเสียจนนอนไม่หลับ หลังจากคุยกันได้สักพัก ต่างคนก็แยกย้ายกลับที่พัก เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน กลาสีพรวดพลาดวิ่งลงมาเคาะประตูห้องนอนศาสตราจารย์แล้วถามว่า "ศาสตราจารย์เคยเรียนวิชาว่ายน้ำไหมครับ" ศาสตราจารย์ตอบว่า "ไม่เคยเลย และฉันก็ว่ายน้ำไม่เป็นด้วย" กลาสีจึงพูดต่อไปว่า "แย่เลยครับศาสตราจารย์ ผมไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ ไม่ได้เรียนภูมิศาสตร์และปรัชญา นับได้ว่า่สุญเสียเวลาไปค่อนชีวิต แต่ท่านไม่ได้เรียนวิชาว่ายน้ำมา ท่านคงต้องสูญเสียทั้งชีวิต เพราะขณะนี้เรือของเราเกิดรูรั่วขนาดใหญ่ และกำลังจะจมครับ"
"นิทานธรรมะ" เรื่อง สองคนยลตามช่อง
ตัวอย่างที่ ๑ มีแก้ว ๑ ใบ มีน้ำเหลืออยู่ในแก้วครึ่งหนึง คนที่ต้องการดื่มน้ำคนแรกมองเห็นแต่ในแง่ลบด้วยความโลภว่า "มีน้ำเหลืออยู่แค่ครึ่งแก้ว คงไม่พอสำหรับดื่มดับกระหาย" แต่อีกคนหนึ่งกลับมองในแง่บวกด้วยความมักน้อยสันโดษว่า "มีน้ำเหลืออยู่ตั้งครึ่งแก้ว น่าจะเพียงพอสำหรับดื่มดับกระหายได้"
ตัวอย่างที่ ๒ ในใบลสิปจ่ายเงินเดือนลูกจ้างบริษัทแห่งหนึ่ง ๒ คน แจ้งยอดเงินรายได้รวมจำนวน ๓ แสนบาท และเงินภาษีรวมหักถึงเดือนปัจจุบันจำนวน ๘ พันกว่าบาทเท่ากัน ลูกจ้างคนมองแต่ในแง่ความเสียดายและเห็นแก่ตัว ว่าถูกหักภาษีรวมเป็นเงินถึง ๘ พันบาท แต่ลูกจ้างอีกคนกลับมองในแง่ดี ด้วยความภูมิอกภูมิใจ ด้วยคิดว่า แค่ถึงเดือนปัจจุบันนี้ เรากลับมีรายได้รวมถึง ๓ แสนบาท
ตัวอย่างที่ ๓ พนักงานขายจาก ๒ บริษัท ได้ถูกส่งไปเปิดตลาดรองเท้าที่ประเทศแอฟริกา พร้อมๆ กัน คนแรกเห็นคนพื้นเมืองแอฟริกาไม่ใส่รองเท้าเลยแม้แต่คนเดียว จึงรีบโทรศัพท์รายงานบริษัทด้วยน้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวังว่า "อย่าส่งรองเท้ามาขายที่นี่ เพราะคนแอฟริกาไม่นิยมใส่รองเท้า" แต่อีกคนกลับรีบโทรศัพท์รายงานบริษัท
"นิทานธรรมะสอนใจ" เรื่อง ส่องพระ
สำหรับการพลิกไป พลิกมา ส่องแล้วส่องอีกของบรรดาเซียนพระทั้งหลาย แท้จริงก็เพียงได้เห็นเนื้อแท้ รูปลักษณ์ภายนอกของวัตถุมงคลเท่านั้น บางครั้งหากผู้ส่องไม่มีคุณธรรม หรือมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจก่อให้เกิดทุกข์ภัยตามมาได้ และนิทานธรรมะบล็อก วันนี้เรานำเสนอ เรื่อง ส่องพระ ขอเปรียบเที่ยบการส่องพระตามลักษณะภายนอกของพระ เพื่อเปรียบเทียบกับข้อคิดทางธรรม ได้ดังนี้
๑. ส่องวัตถุมงคลชนิดสามเหลี่ยม หากจะเปรียบเทียบกับปริศนาธรรมที่แฝงอยู่ ก็เปรียบได้กับ หลักไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา สิ่งเหล่านี้ขอให้เราคิดว่า จะต้องเจอะเจอเป็นแน่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หลีกหนีไม่พ้น แต่ให้จงพึงระวังใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท
๒. ส่องวัตถุมงคลชนิดสี่เหลี่ยม เปรียบเทียบปริศนาธรรมที่ได้ คือ
นิทานธรรมะให้คติสอนใจ เรื่อง สามัคคีคือพลัง
เป็นที่ทราบกันดีว่า ความสามัคคีเป็นคุณธรรม ที่หมายถึง ความพร้อมเพรียงกัน ความร่วมมือร่วมใจกัน กระทำกิจที่ชอบอย่างใดอย่างหนึ่งให้แล้วเสร็จ แต่ถ้าเป็นการร่วมมือกันกระทำกิจที่เป็นเรื่องความเสียหาย มักเรียกว่า การสุมหัว เช่น สุมหัวกันกินเหล้า สุมหัวกันปล้น เป็นต้น สังคมใดมีความสามัคคี รักใคร่กลมเกลียว สังคมนั้น ย่อมบังเกิดความเจริญรุ่งเรือง และความสงบสุขร่มเย็น ดังเช่น สังคมของเจ้าลิจฉวี เป็นต้น
"นิทานธรรมะ : ฉันเป็นกำนัน"
"นิทานธรรมะ : ลุงย้ายภูเขา"
นิทานธรรมะ เรื่อง ผิดกับถูก
เหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ จึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ ขับเจ้าหัวขโมยคนนั้นออกไป หาไม่แล้ว พวกเขาจะพากันลาออกไปทั้งหมด เมื่ออ่านข้อเสนอแล้ว อาจารย์จึงเรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด
นิทานธรรมะ เรื่อง ไฟศักดิ์สิทธิ์
นิทานธรรมะ เรื่อง ไฟศักดิ์สิทธิ์ |
"วันแม่แห่งชาติ"
ในฐานะของความเป็นลูก ควรให้ความสำคัญกับบทบาทของความเป็นแม่ที่มีต่อลูกทุกๆ คน เพราะแม่เป็นผู้ให้ยอดของทรัพย์ ที่บุคคลอื่นไม่สามารถจะบันดาลให้ได้ นั่นคือ ชีวิต เลือดเนื้อ สังขารร่างกาย ทรัพย์สมบัติอย่างอื่น เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง เสื้อผ้า ของกิน เครื่องใช้ สามารถหาซื้อได้ ส่วนชีวิตไม่มีขาย หรือให้กู้ยืม นอกจากพ่อแม่ท่านจะมอบให้เท่านั้น เริ่มแต่วันที่ลูกได้เข้าไปปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ของท่าน ดังบทกลอนที่ปราชญ์ประพันธ์ไว้ว่า
"นิทานธรรมะคติสอนใจ : บันทึกรักจากแม่"
จากเรื่องข้างต้น จะเห็นถึงความรักแท้ของแม่ที่มีต่อลูกได้อย่างชัดเจน ดังนั้น วันแม่ปีนี้ หรือปีไหนๆ หากใครยังไม่เคยกล่าวคำว่า "รักแม่" ก็ควรถือเอาโอกาสวันสำคัญนี้ นำดอกมะลิไปกราบท่านและบอกรักท่านเสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอกรักท่าน เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไป ชีวิตของแม่ก็เหมือนกับไม้ใกล้ฝั่ง ทำดีกับท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าทำดีในวันที่ท่านจากเราไป แล้ววันแม่ปีนี้ก็จะเป็นวันที่มีค่า และมีความหมายอย่างแท้จริง...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)